Saturday, July 26, 2014

ว่าด้วย Uber



  • คนส่วนใหญ่รู้จัก Uber ในนาม app เรียก taxi ไฮโซ ผ่านมือถือ ตัดเงินผ่านบัตรเครดิต
  • แต่จริงๆแล้ว Uber เป็นผู้ให้บริการ software ด้านการ track การเดินทางด้วย gps แต่ว่าจ้าง partner มาให้ขับรถให้ กลายเป็นบริการ taxi ไปโดยปริยาย
  • รถที่ใช้ในระบบอาจจะเป็นของคนขับรถเอง หรืออาจจะเช่ามาจากบริษัทรถลีมูซีน เช่น camry, benz
  • ตอนนี้ในไทยมีรถอยู่ประมาณ 200 คัน วิ่งแค่ใน กทม และ พัทยา และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • ค่าบริการโดยปกติ จะแพงกว่าค่า taxi ทั่วไปประมาณ 1.5 เท่า
  • สำหรับการใช้บริการไปสนามบิน หรือจากสนามบินไปที่ใดๆ จะเป็น fix rate คือ 1,000฿ ต่อเที่ยว
  • ในช่วง prime time ที่คนใช้เยอะๆ อาจจะมี surge rate คือราคาอาจจะพุ่งเป็น 2 เท่า หรือมากกว่านั้นได้ (ตอนนี้ max ที่เคยเจอคือ 2.5 เท่า)
  • การใช้บริการ Uber ถ้าวิ่งผ่านเส้นที่มีทางด่วนแต่ไม่ได้ขึ้น ต้องดูใบเสร็จดีๆด้วย เพราะค่าเดินทางจะคิดจาก gps ของ ipad ในรถ อาจคลาดเคลื่อนแกน z ทำให้คิดว่าเราขึ้นทางด่วนก็เป็นได้
  • ใครๆก็สามารถสมัครเป็นคนขับ Uber ได้ แต่ต้องสัมภาษณ์เยอะหน่อย ภาษาอังกฤษต้องได้เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
  • ค่าจ้างคนขับ ถ้าเป็นรถของตัวเอง จะได้เงินเป็นรายเที่ยว แต่ถ้าเป็นรถเช่าจะได้เป็นรายวัน
  • สำหรับค่าจ้างคนขับแบบรายเที่ยว คิดเป็นกิโลเมตรด้วย เช่น 18 กม แรก ได้ 250฿ ถ้าเกินนั้นเป็น 450฿ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามจำนวน กม
  • สำหรับค่าจ้างคนขับแบบรายชั่วโมง จะได้ประมาณ 400฿ ต่อ 6 ชั่วโมง
  • สำหรับคนขับที่ทำยอดได้เกินแสนต่อเดือน จะได้โบนัสด้วยนะ
  • แต่ถ้าคนขับคนไหนที่ได้คะแนน Vote น้อยกว่า 4.4 จะไม่มีสิทธิ์ได้ขับต่อ!!!
  • คนใช้บริการ Uber ส่วนใหญ่ ชอบ Uber เพราะมีความปลอดภัยสูง สามารถตรวจสอบประวัติคนขับรถได้ด้วยตัวเอง หรือจะ share การเดินทางให้เพื่อนเราดูได้ด้วย
  • คนขับ Uber จะไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่ชวนคุยการเมือง ไม่เติมแก้ส ไม่ส่งรถ ใดๆทั้งสิ้น จะให้ไปส่งไหนก็ไปได้หมด //กดlike
  • เวลาใช้บริการ ในรถจะมีแจกน้ำ ผ้าเย็น ให้ฟรี บางทีคนขับก็ลงมาเปิดประตูให้ด้วย ไฮโซจริงๆ

**** สำหรับใครที่สนใจอยากลองจัดดูบ้าง สมัครผ่าน link นี้ http://www.uber.com/invite/uberthai300free จะได้ credit ไปใช้ฟรีเลย 300฿ 
หรือสามารถใส่แค่ promocode UBERTHAI300FREE ก็ได้****
พอสมัครแล้วก็สามารถเอา link ของตัวเองไป share ต่อได้ 300฿ ทั้งผู้สมัครและผู้ invite 

//ขอบคุณข้อมูลจากพี่คนขับ Uber 

The Uber app connects you with a driver at the tap of a button. Available on iPhone, Android, and at m.uber.com.
WWW.UBER.COM

Saturday, February 1, 2014

Taxi สิงคโปร์


วันนี้มีโอกาสได้ไปร่วมงาน NJUG (Narisa Java User Group) Meetup #7 จริงๆเราก็ไม่ได้อยู่ใน Group นี้ตั้งแต่แรกหรอก แต่เห็นมี Event ใน Facebook แล้วเห็นคนที่จะไปร่วมงานก็เป็นพี่ๆที่เรารู้จักซะส่วนใหญ่ ก็เลยถือโอกาสขอเข้าไป Join เลยละกัน

มีเรื่องนึงที่คุยกันแล้วเรารู้สึกชอบและอยากแบ่งปันมากจนต้องเอามาเขียน blog ก็คือเรื่อง "Taxi สิงคโปร์" เรื่องนี้เริ่มจากประโยคที่เราพูดว่า 
"มีคนบอกว่า เขียน TDD (Test Driven Development) ไปทำไม เสียเวลาจะตาย"
เพียงเท่านั้นแหล่ะ พี่รูฟ และ พี่ดีน ก็ร้อง "อ่าาาาาาาาห์" ออกมาพร้อมกัน แล้วพี่รูฟก็บอกให้พี่ดีน เล่าเรื่อง Taxi สิงคโปร์ให้ฟัง...


จากรูปข้างบนนี้ จะเห็นว่ามีจุดอยู่ 2 จุด คือ จุด start และจุด finish เปรียบเหมือนกับจุดเริ่มต้นกับปลายทางบนถนนที่สิงคโปร์ ซึ่งระหว่าง 2 จุดนี้ มีถนนอยู่ 2 เส้นทางให้เลือกเดินทาง
  • เส้นทางแรก (เส้นบน) จำกัดความเร็วอยู่ที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • เส้นทางที่ 2 (เส้นล่าง) ไม่จำกัดความเร็ว แต่มีไฟแดงอยู่เป็นระยะๆ
เรื่องมันมีอยู่ว่า มี programmer อยู่คนนึง จะไปทำงานตอนเช้า แต่เพราะค่าที่จอดรถที่สิงคโปร์มันแพง เค้าก็เลยต้องนั่ง taxi ไปทำงานทุกวัน และด้วยความที่เป็น programmer สุดขยัน เค้าก็อยากเขียนโปรแกรมขณะอยู่บนรถ taxi ด้วย ดังนั้น เพื่อให้การเขียนโปรแกรมเป็นไปอย่างราบรื่น เขาก็มักจะบอก taxi ตอนขึ้นรถว่า "ไปทางที่จำกัดความเร็วนะ จะได้เขียน code นิ่งๆ" หลังจากนั้น programmer คนนั้นก็มักจะก้มหน้าก้มตาเขียนโปรแกรมไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปซักแป้ป เขาเงยหน้าขึ้นมาจากคอม ก็พบว่าคนขับ taxi ไปทางที่มีไฟแดง!? programmer คนนั้นก็งง ว่าทำไมไม่ไปตามทางที่เขาบอกนะ ก็เลยเอาใหม่ วันต่อมาก็ทำเหมือนเดิม บอก taxi ให้ไปทางจำกัดความเร็วนะ แต่ผลสุดท้าย taxi ก็ยังเลือกไปทางที่มีไฟแดงอยู่ดี เป็นแบบนี้ทุกวันๆ..

มีใครรู้ไหมว่าเพราะอะไร...?

ก็เพราะว่า คนขับ Taxi "เสพย์ติดความเร็ว" หน่ะสิ.. 
คนขับ taxi มักจะรู้สึกดีทุกครั้ง เมื่อได้เหยียบคันเร่งจนสุด เพื่อให้รถได้วิ่งไปด้วยความเร็ว speed สูงๆ พอเจอไฟแดงก็เหยียบเบรก เอี๊ยดดดดด! เบรกเสร็จแล้วก็ฟินที่ได้เหยียบคันเร่ง พร้อมกับเตรียมตัวฟินอีกครั้งเมื่อไฟกำลังจะเขียว

เรื่องนี้บอกอะไรกับเรา...?

..พวกเราชาว programmer ก็เหมือนคนขับ taxi นั่นแหล่ะ "เสพย์ติดความเร็วในการเขียน code" ขอแค่เริ่มเปิดคอมมา แล้วได้เขียน code เลยก็ฟินแล้ว โดยที่ไม่ได้ตระหนักว่าผลสุดท้ายมันจะออกมาดีหรือไม่ดี ขอแค่มันเสร็จได้อย่างที่ต้องการและรวดเร็วก็มีความสุข

เหตุผลนึงที่ programmer มักจะไม่ตระหนักถึงวิธีการ คิดแค่ว่าอยากให้เสร็จเร็วๆอย่างเดียว ก็คือ programmer มักจะคิดว่าเพราะงานของเขาคือเขียน code ส่วนเรื่อง test ไม่ใช่เรื่องของเขา เรื่อง debug ก็ไม่เรียกว่าเป็นงาน ดังนั้น ใครๆก็มักจะอยากจบงานของตัวเองให้เร็วที่สุด โดยไม่ได้มองดูภาพรวมเลยว่า หาก programmer เขียน code และ test ไปพร้อมๆกัน แม้ว่างานมันจะออกมาช้ากว่าการที่รีบๆ code ให้เสร็จ แต่เมื่อลองดูระยะยาวและมองไปในอนาคตแล้ว หากถึงเวลาที่ต้องแก้หรือต้องเพิ่มอะไรเข้าไป เราก็สามารถแก้ได้อย่างมั่นใจว่าจะไม่ไปกระทบกับของเก่าและของที่มีอยู่จะไม่พัง

เห็นรึยังหล่ะ ว่าเวลาที่ใช้ทั้งหมด มันน้อยกว่าเวลาที่ต้องใช้ของแบบแรกเห็นๆ!!



"ทำงานเป็น Team ถ้าจะเขียน TDD คนเดียวก็ได้ แต่ทำๆไปแล้วมันจะเหนื่อย มันจะหมดแรง ถ้าอยากให้คนอื่นทำ TDD ด้วย ก็ต้องทำให้เขาเห็นก่อน ว่าไม่ทำแล้วมันส่งผลเสียยังไง ทำแล้วจะดีขึ้นยังไง set goal ร่วมกันให้ได้ ค่อยๆทำไปทีละนิด เดี๋ยวมันก็ดีเอง :) "



Wednesday, October 16, 2013

Digital Matters #4 "Content Marketing" Event

นาน ๆ ที Dev แบบเราจะได้มีโอกาสไป Marketing Event กับเค้าบ้าง เลยต้องจัด Blog ซะหน่อย

วันนี้มางาน Digital Matters ครั้งที่ 4 เป็นงานสนทนาแนวธุรกิจ หัวข้อ

"Content Marketing ทำอย่างไรให้ work"

งานนี้จัดที่ LaunchPad


ในงานคนเยอะมากกกกก คนลงทะเบียนประมาณ 400 คนแหน่ะ แต่เท่าที่ก่ะ ๆ ด้วยตา จำนวนคนที่มาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200 คน


เริ่มด้วยคุณปองกับคุณตุ้ย ทีมงานจาก thumbsup  มากล่าวเปิดแนะนำ thumbsup

focus ที่ข้อมูลเรื่องการตลาด digital จาก Website  thumbsup เองในช่วง 3 เดือนล่าสุด

ลองสรุปคร่าว ๆ ที่น่าสนใจ
  • โฆษณาบน news feed บน facebook มียอด click มากกว่ากล่องโฆษณาข้าง ๆ ถึง 49 เท่า
  • ปีที่แล้ว จากเงินทั้งหมดที่ใช้ในการโฆษณา 100,000 ล้านบาท เป็นส่วนของโฆษณาในรูปแบบ Digital ถึง 3,000 ล้านบาท
  • ETDA > www.etda.or.th องค์กรรวบรวมพวกตัวเลขเกี่ยวกับ digital ในไทย (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) Electronic Transactions Development Agency (Public Organization) )
  • ยอดขาย PC ร่วงลงต่อเนื่อง 11% ซึ่งก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก เพราะเหล่า tablet และ mobile เริ่มมาแรง
  • Spotify ธุรกิจเพลง online มีแววร่วงในไทย ด้วยข้อกฏหมายต่าง ๆ ด้านลิขสิทธิ์ของไทยที่จำกัดมาก
  • Line คนไทยมี 18 ล้าน account ในขณะที่ Twitter คนไทยมี 4 ล้าน account ส่วน Facebook คนไทยมี 13 ล้าน account !!
  • Social Monitoring Tool ในไทยเริ่มมีเยอะมากขึ้น เพราะของเมืองนอกส่วนใหญ่จะอ่านและวิเคราะห์ภาษาไทยได้ไม่ดี จึงเริ่มเกิด Brand ด้านนี้มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็น Tool ที่นำข้อมูลบน Social ต่าง ๆ มาวิเคราะห์ เช่น Brand ไหน มีคนพูดถึงด้านดี, ด้านร้ายกี่ percent เป็นต้น
  • Google Play สร้างรายได้เพิ่ม 67% จากช่วงครึ่งปีแรก
  • Facebook ให้ทำ Promotion หน้า Facebook page ได้แล้ว
  • Microsoft ซื้อ Nokia 72 ล้านเหรียญ
  • Google ประกาศ Android 4.4 ชื่อ Kit kat
  • หุ้น Yahoo แตะ 30 เหรียญ ครั้งแรกในรอบ 5 ปี
  • Apple ขาย iPhone 5c 5s ได้ 9 ล้านเครื่อง หลังจากวางขายเพียง 3 วัน
  • BlackBerry ขายให้ Fairfax (หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท) 4.7 พันล้านเหรียญ
  • โฆษณา True "การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด" โด่งดังไปไกล หลายประเทศ

Content Marketing โดยคุณต่อ จาก Predictive

  • บน Youtube ผ่าน Desktop trend ด้าน Entertainment เป็นส่วนหลัก
  • ตลาดจีนเริ่มเข้ามาเล่นฝั่ง multimedia content มากขึ้น
  • คนเล่น youtube เฉลี่ย 32.8 นาทีต่อวัน
  • channel VEVO 2 ล้าน unique visitors ต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กอายุ 15 - 24 ปี
  • Top 20 ของไทยก็ยังเป็น music channel เหมือนกัน
  • ส่วนใหญ่แล้ว traffic ของ Youtube จะไม่ได้มาจากการเข้า Website Youtube โดยตรง แต่จะมาจาก Google, Facebook, MTV, Blogger
  • ในด้านการเขียน Blog > web Blogger เติบโตที่สุด น่าจะเป็นเพราะ Service ที่มาพร้อมกับ Blogger  เช่น google analytics รองลงมาก็จะเป็น Bloggang กับ wordpress (ข้อมูลนี้ไม่รวมเว็บที่ใช้wordpress engine แต่ไม่ได้ใช้ wordpress.com)
  • trend ของการเขียน Blog เริ่มลดลงจากปีที่แล้ว 9%
  • เราควรมองตลาดโลกด้วยมากกว่ามองแค่ตลาดไทยอย่างเดียว อย่างเช่นประเทศจีน ตลาดใหญ่กว่าไทยหลายเท่าเลย และที่สำคัญ ตลาดจีนก็เริ่มมาลงทุนในตลาดไทยบ้างแล้วด้วย
  • application "ComScore Direct" เอามาใช้ "tag all your digital assets"
  • สรุป ตามนี้จ้ะ

Content Marketing Optimization จาก Syndacast

  • ทุกวันนี้ เป็นยุคที่คนสามารถเลือกได้ว่าเสพย์สื่อของเราหรือไม่ ดังนั้น การทำให้สื่อน่าสนใจถือเป็นสิ่งที่สำคัญ
  • หัวใจหลักการทำ content marketing ก็คือการเตรียม content
  • content ที่ดีควรตอบโจทย์ทุกโจทย์ > who what when where why how
  • content ที่ดีควรทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้ประโยชน์จาก content นั้น ๆ รู้สึกดีและอยาก share ต่อ
  • B2C Content Marketing Usage เรียงตามลำดับคือ > social media, Article on your website, eNewsletters, Videos, Blogs
  • B2B Content Marketing Usage เรียงตามลำดับคือ > social media, Article on your website, eNewsletters, Blogs, Case Studies
  • เป้าหมายของ content marketing แบ่งได้ 4 ส่วน Entertain, Inspire, Convince, Educate แต่ละส่วนก็จะมีวิธีที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ตามรูป
  • บน social media คนไม่ชอบอ่าน text ยาว ๆ ดังนั้นคนจึงนิยมทำ info graphic ให้อ่านง่าย ๆ
  • content marketing คือส่วนสำคัญของ SEO
  • คนนิยมเข้า search engine เพื่อ save time
  • SEO > domain ยิ่งเก่ายิ่งดี, link มา web เยอะ ยิ่งดี, Page level Keyword
  • "Hummingbird algorithm" เป็นตัวใหม่ของ google ที่เอาไว้เน้นเกี่ยวกับเรื่อง content ตามรูป
  • เช่น search "compare" อะไรบางอย่าง google ก็จะเอามาเทียบกันให้ดู หรือ "list of songs" ก็จะมี list เพลงให้ดู กดไป youtube ได้
  • สรุปคือ google ทำ user friendly result ขึ้นมาให้เหมาะกับคำ search มากขึ้น ซึ่งก็คือ Hummingbird นั่นเอง
  • การทำ SEO แบบ white hat คือเอา link ไปฝากไว้ตาม link web อื่นที่มีขื่อเสียง จะได้ผลดีมาก

พักกินพิซซ่าาาาาา (>w<)/

Client perspective Content Marketing ทำอย่างไรให้ Work จากพี่โค้ด เสือร้องไห้และพี่แท็ป จากศรีจันทร์สหโอสถ

  • เสือร้องไห้มีสมาชิก 4 คน พี่คัตโตะ lipta, พี่โค้ด (น้องชายของคัตโตะ), และอีกสองคน (จำไม่ได้ ฮา)
  • เสือร้องไห้เริ่มจากความสนุก จะมีลูกค้ามาจากหลายประเภท ทั้งอยากให้ทำโฆษณาให้ แต่ก็ไม่ได้ทำทั้งหมด คือต้องดูปัจจัยหลายอย่าง
  • ศรีจันทร์สหโอสถ บริษัท ขายยา ที่ขายให้กับภาครัฐซะส่วนใหญ่
  • ผงหอมศรีจันทร์ > product เก่าแก่ที่ลองเอามาทำกับ marketing แบบใหม่ ซึ่งก็หมายถึงพวก social media นั่นเอง
  • Digital Frontier > ทุกคนมี access เข้าสู่โลกออนไลน์
  • แคมเปญที่ขายได้ มักจะบอกไม่ได้ตั้งแต่เริ่มแคมเปญว่ามันจะเวิร์ค (เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา) ต่างกับ แคมเปญ TV (TVC) ที่รู้แน่นอนว่ามันเวิร์คถ้าเราเอาไปลงโฆษณาละครหลังข่าวช่อง 3
  • สหโอสถ เริ่มเอาตัวละครที่อยู่ใน page facebook เช่น ออกพญาหงส์ทอง, แม่บ้านมีหนวด และตัว page ผงหอมศรีจันทร์ เอามาทำให้มี character จริง แล้วเล่ามุมมองในแต่ละตัวละคน มันก็จะเริ่มเกิด traffic ใน 3 page >>> คนพูดถึงเยอะมาก แต่ขายของไม่ได้เท่าไหร่ (ฮา) ซึ่งนี่ก็ถือเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า วิธีแบบที่ใช้ social network ผสมกับการสร้างตัวละคร มันเวิร์ค
  • บางที like ก็ใช้วัดอะไรไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้จำนวน like สามารถซื้อได้!
  • การดูจาก feedback ที่คนมา post comment ในหน้า page อาจจะบอกอะไรได้ดีกว่า
  • การทำให้ brand มีตัวตน (Humanize) ขึ้นมา ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง brand
  • เสือร้องไห้ ยึดหลักการ "อยากทำ ทำเลย!!!" แต่ก็ต้องอย่าลืมดูเรื่องลิขสิทธิ์ด้วย
  • ส่วนในแง่แบรนด์ จะคิดว่าทำอย่างไรให้ขายได้ด้วยและคนดูและเจ้าของแบรนด์ happy ด้วย
  • ตัวอย่าง magnum พอเริ่มทำแคมเปญ (ที่ออกโฆษณา ให้ celeb มากิน magnum หรือกินแล้วดูกลายเป็น celeb) แค่เดือนเดียว ก็ขายดีกว่าทั้งยอดขายทั้งปี 2011
  • การทำ content marketing เป็นการผสมผสานระหว่าง brand, agency, content creator
  • timing ในการทำ content marketing > ตอน plan ควรอยู่กันทั้งทีมคนทำและ agency เพื่อให้เกิดผลงานที่ดีที่สุด
  • ทำ content ควรอยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริง และควรจริงใจกับลูกค้า
  • "กล้าที่จะเรียนรู้ ทุกครั้งที่เราเจ็บตัว เรายิ่งจะเรียนรู้"
  • ทุนน้อย ต้องคิดเยอะ แต่ถ้าทุนน้อย แล้วยังคิดน้อยอีก เลิกทำเถอะครับ (ฮา)
  • สิ่งสำคัญในการทำ Content Marketing คือ "Co-create" และ"การรู้จักตัวเอง"

**** Link บทสรุปและ Slide ของงาน ****

จะสังเกตเห็นว่าทั้งพี่เสือร้องไห้และพี่ผงหอมศรีจันทร์ มีการทำงานแบบ เน้น Customer Collaboration ซึ่งก็คือ การผู้คุยกันระหว่างทีมทำงานและลูกค้าหรือผู้จ้าง เพื่อให้ทุกฝ่ายพึงพอใจและส่งผลให้ผลงานออกมาดี ซึ่งนี่ก็เป็นข้อนึงใน Agile Manifesto นั่นเอง :D


Sunday, October 13, 2013

12 ขั้นตอนสำหรับ Basic User Experience (UX)

ประเดิม Blog แรกเลยนะเนี่ย (^_^)/ ต้องขอบคุณพี่ @apirak ที่ให้โอกาสได้ไปช่วย Basic UX Workshop ที่จัดโดย Ux Academy เมื่อวันที่ 28 - 29 กันยายน ที่ผ่านมา จัดที่ Hubba

ได้ความรู้ติดกลับมาด้วยเยอะแยะเลย อยากสรุปเอาไว้อ่านเองแล้วก็อยากแบ่งปันด้วย เลยเอามาเขียน Blog เลยละกัน

"การคิด UX" 

ในความคิดของตั้ว คือ การคิดวิเคราะห์เข้าไปในจิตใจผู้ใช้ ว่าอะไรที่จะทำให้เค้าใช้งานสิ่งของทุก ๆ อย่างที่เราตั้งใจผลิดออกมาไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เครื่องใช้ รวมไปถึง software, mobile application ต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น รู้สึกดีกับชิ้นงานของเรา และอยากใช้อีก สรุปวิธีคิดแบบง่าย ๆ คือ สิ่ง ๆ นั้น ควรจะต้องตอบโจทย์ปัญหาในชีวิตไม่อย่างใดก็อย่างนึง และยังมีการใช้งานที่ง่าย ใช้งานแล้วไม่สะดุด ในที่นี้ จะพูดถึงเรื่อง Basic UX ของการทำ software เช่น web หรือ mobile application นะ :)

12 ขั้นตอน สำหรับ Basic UX

1.) research

สอบถามทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะทำ (stakeholder) ว่าเหตุผลและจุดมุ่งหมายของการทำสิ่ง ๆ นั้นขึ้นมาคืออะไร

2.) review user

สอบถามประวัติและเรื่องราวในชีวิตประจำวันของ user เพื่อหาปัญหาที่ซ่อนไว้ลึก ๆ (insight) โดยการถามคำถาม จะเริ่มจากให้แนะนำตัวเพื่อสร้างความเป็นกันเอง แล้วให้เค้าลองเล่าเรื่องที่น่าจะเกี่ยวกับหัวข้อที่เราจะทำ โดยจุดสำคัญคือ ให้เน้นการเล่าเรื่อง ไม่ใช่ให้ตอบคำถามปลายปิด และไม่ชี้นำ เพื่อให้ user เป็นคน lead เรา ไปหานิสัยส่วนตัวลึก ๆ ของเขา เพราะบางคำตอบ user อาจจะตอบ "ที่สิ่งเขาคิดว่าเขาเป็น" ไม่ใช่ "สิ่งที่เขาเป็น" จริง ๆ นอกจากนี้ เราควรสังเกตหน้าตาท่าทางของ user ขณะเล่าด้วย ว่าจุดไหนที่เขาอึ้ง เงียบ กำลังคิด นั่นก็หมายถึงว่า เค้ากำลังขุดสิ่งที่เค้ารู้สึกข้างในออกมาบรรยายให้เราฟัง คำถามที่ดีคือคำถามที่ทำให้เขาฉุกคิด และในขณะที่เขาคิดควรปล่อยให้เขาคิด ห้ามถามคำถามแทรก
ยกตัวอย่างเช่น อยากจะทำ app note ช่วยจดบันทึก ก็จะให้ลองเล่า ชีวิตตั้งแต่ตื่น ไปจนถึงที่ทำงาน ให้เขาลองเล่ารายละเอียดมาเป็นชอต ๆ โดยขั้นตอนนี้ อาจจะสัมภาษณ์ user ประมาณ 3 - 5 คน

3.) กำหนด persona

สร้างตัวละครที่เราจะเอามาแทน user ทั้งหมด ขึ้นมา ประมาณ 3 คน โดยจะกำหนดทุกอย่าง ทั้งชื่อ รูป อายุ ที่อยู่ อาชีพ อุปนิสัย ปมในอดีต เพื่อให้เหมือนคนจริง ๆ มากที่สุด โดยเราอาจจะนำบุคคลที่ทุกคนในทีมรู้จัก มาเป็น persona ได้เลย จะแหล่มมาก เพราะทุกคนในทีมจะจำได้ง่่ายกว่าสร้างคนขึ้นมาใหม่

4.) brain storm ด้วย post it เพื่อหา problem

เราจะใช้ post it เพื่อทำการ brain storm โดยทีมจะมามุงกันที่บอร์ด แล้วให้คนนึงเริ่มพูดสิ่งที่คิดว่า persona ของเรากำลังมีปัญหาอยู่ โดยทีมจะผลัดกันแปะ post it แล้วพูดอธิบาย post it นั้นทีละคน ไม่พูดซ้อนกัน เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจทุกความคิดที่ถูกแปะไป หากเราเห็นความคิดของคนอื่นแล้วนึกถึงเรื่องอื่นได้ ก็สามารถเขียน post it แล้วไปแปะต่อกับ post it อันที่ทำให้เราเกิดความคิดได้ (เรียกว่า ต่อยอด post it)

กฏการ brain storm 

มีอยู่ 7 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน
  1. defer judgement > ไม่แย้งความคิดเห็นของคนอื่น
  2. encourage wild ideas > สนับสนุนความคิดที่เปิดกว้าง
  3. build on the ideas of others > ต่อยอดความคิดของคนอื่น
  4. stay focused on topic > พยายามอย่าออกนอกหัวข้อจนเกินไป
  5. one conversation at a time > ให้คนพูดที่ละคน เพื่อให้ทุกคนได้ยินและเข้าใจที่มาของทุกความเห็น
  6. be visual > ถ้าสื่อไม่ถูก ก็วาดรูปแทนได้
  7. go to quantity (not quality) > เน้นปริมาณ ยังไม่เน้นคุณภาพ

5.) vote problem

ใช้ dot vote เพื่อดูแนวโน้มว่าปัญหาใดที่ควรแก้ไขในอันดับต้น ๆ คือ ให้แต่ละคนในทีม มี vote ของตัวเอง คนละ 3 ถึง 5 โหวต (แล้วแต่ขนาดของทีมและ post it) จากนั้น ก็เลือกจุด post it ปัญหาที่เราสนใจและอยากจะแก้ไข

6.) "เพราะว่า ..[problem].. เป็นไปได้ไหมที่จะ …[solution ที่วัดผลได้].."

เขียนประโยคนี้ใส่กระดาษใหญ่ ๆ ให้ทุกคนในทีมเห็น เพื่อเป็นจุดให้เรา focus ว่าเรากำลังจะแก้ปัญหาอะไรให้ user แล้วเราจะวัดผลอย่างไรว่าเราได้แก้ปัญหานั้นแล้ว โดยเวลาเขียน solution ต้องเขียนในรูปแบบที่จะวัดผลได้ ยกตัวอย่างเช่น กรณีจะเขียน app to-do list อาจจะเขียนว่า "เพราะว่าไม่ทราบว่าจะทำอะไรก่อนหลัง เป็นไปได้ไหมที่จะเห็นว่าควรทำอะไรก่อน อย่างน้อย 3 อันดับแรก" >> คือ เขียนออกมาให้เป็นรูปแบบตัวเลขที่ทำให้วัดผลได้ เช่น จำนวน, เวลา เป็นต้น

7.) brain storm หา solution

เริ่มจากการ brain storm หา solution ด้วย post it ก่อน (เหมือนข้อ 4) โดยการ brain storm หา solution นี้ จะอิงกับประโยคที่เรา define ไว้ในข้อ 6

ตัวอย่างการ generate ideas

  • เพิ่มสิ่งที่ดี
  • กำจัดสิ่งที่แย่
  • ลองมองมุมกลับ
  • ตั้งข้อสงสัยสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
  • เปลี่ยนความรู้สึก
  • เลียนแบบ
เมื่อ brain storm เสร็จ จะช่วยกันเลือกว่า solution ที่เราจะทำขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาตามข้อ 6 นั้น คืออะไรดี เราอาจจะใช้วิธี dot vote เหมือนตอนหาปัญหาก็ได้ หรือ อาจจะใช้วิธี thumb vote คือ ให้ทีมใช้การยกนิ้วโป้งเพื่อโหวต มีทั้งหมด 3 แบบ ก็คือ
  1. ยกนิ้วโป้งขึ้น (เหมือนกด like) หมายถึง เห็นชอบกับวิธีนี้
  2. กดนิ้วโป้งลง หมายถึง ไม่ชอบ / ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้
  3. ยกนิ้วโป้ง แล้วทแยงมือขนานกับพื้น หมายถึง เฉย ๆ
โดยขั้นตอนนี้ เราทุกคนควรจะมี solution ที่ชอบที่สุดอยู่ในใจ แล้วโหวตให้อันที่เราชอบ หาก solution ไหนที่ทีมยกมาโหวต มีคนเลือกกดนิ้วโป้งลงแม้แต่คนเดียว ให้ทีมคุยกัน แสดงความเห็นกัน ว่าทำไมคนนี้ถึงไม่ชอบวิธีนี้ มีข้อเสนออื่นมั้ย ข้อดีข้อเสียคืออะไร หรือถ้ามีคนใน team เลือกกดนิ้วโป้งลงเกินครึ่งของทีม ให้ถือว่า solution นั้นไม่ผ่าน และไม่ควรเลือกทำ กล่าวคือ ให้ช่วยกันหา solution ที่ทุกคนในทีมยอมรับ เพื่อให้มีเป้าหมายและความเชื่อเดียวกัน

8.) วาด storyboard

เล่าถึง use case ในการใช้งาน software ของเรา ว่าคนจะใช้ในเหตุการณ์ไหน เล่าในรูปแบบของภาพเล่าเรื่อง บอกถึงลำดับการใช้งานหลัก ๆ ว่าเป็นยังไง เพื่อให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมและเข้าใจจุดประสงค์

9.) ร่าง wireframe คร่าว ๆ ด้วยหน้าจอ 2 นิ้ว (อันนี้กรณีออกแบบ mobile app)

ใส่รายละเอียดว่าโปรแกรมของเรา จะมีหน้าจอไหนบ้าง แต่ละหน้าจะมีอะไรหลัก ๆ บ้าง โดยขั้นตอนนี้ ยังไม่ต้องลงรายละเอียดในแต่ละหน้าจอมากนัก เพราะต้องการให้มองเห็นแค่ภาพรวมเท่านั้น

10.) ร่าง wireframe ละเอียด ด้วยหน้าจอขนาดจริง

เริ่มลงรายละเอียดแต่ละหน้าจอมากขึ้น แล้วตัดกระดาษแต่ละหน้าออกมา ให้คล้ายขนาดจริง

11.) usability test

ให้ user ลอง test ด้วย wireframe นี้ (ใช้กระดาษที่ตัดมาจากข้อ 10 เรียกว่า paper prototype) เพื่อหา feedback ว่า มีจุดไหนที่เราลืมไป หรือมีจุดไหนที่เข้าใจยากและควรแก้ไขหรือไม่ เริ่มจากเขียนในกระดาษไว้ ว่าเราจะทดสอบ feature ไหนบ้าง

** โดยในขั้นตอนนี้ มีจุดสำคัญอยู่ที่ตอนให้ user ลอง test

ควรเริ่มจากการพูดขอบคุณที่มาช่วย test และบอกว่า การ test นี้ เป็นการ test โปรแกรม ไม่ใช่ test user หากมีจุดไหนผิดพลาด แสดงว่าผิดพลาดที่ผู้ทำโปรแกรม ไม่ใช่ที่ผู้ใช้ แล้วจากนั้น ก็บอกให้ user ทดสอบและคิดไปด้วยโดยต้องคิดให้ดัง คือ ให้พูดไปด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ในขณะที่ทดสอบ เราควรสังเกตหน้า user ด้วย ว่าขมวดคิ้ว / งงตรงไหน คิดตรงไหนนาน การใช้งานส่วนไหนไม่ราบรื่นบ้างหรือไม่
ตอนที่จะให้ user ทดสอบตาม feature ที่เราเขียนไว้ตอนแรก ให้พูดเป็นสถานการณ์ ไม่ใช่บอกให้ทำ feature นั้น ๆ โดยตรง เพราะผู้ใช้อาจจะหา keyword จากคำพูดเราแทนก็ได้ เช่น โปรแกรม to-do list อยากจะให้ user ทดสอบการ add to-do ใหม่ ให้เราควรพูดว่า "สมมติว่าคุณ A นึกได้ว่าต้องแวะซื้อข้าวเย็นก่อนกลับบ้านแล้วอยากเก็บบันทึกไว้ คุณ A จะทำอย่างไรคะ"

** อย่าลืมให้คนนึงจด feedback และรายละเอียดที่ user comment ไว้ด้วยนะ

ตัวอย่างการ test อีกรูปแบบนึงที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การใช้การเบลอหน้าจอ แล้วสอบถาม user ที่ยังไม่เคยเห็น ว่า คิดว่าตำแหน่งไหน เป็นอะไร หรืออาจจะใช้วิธีทำเป็นสีขาวดำ / gray scale เพื่อตรวจสอบเรื่องการใช้สี และตำแหน่ง ดูว่าอันไหนเด่น ตำ

12.) improvement

นำ feedback ที่ได้มา นำมาปรับปรุงแก้ไข แล้วเอาไปให้ user ลอง test ซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่า user จะ ok แล้วค่อยเริ่ม dev เพราะการ test ด้วย wireframe ที่เป็นกระดาษ ต้นทุนถูกกว่าการ test ด้วยตัว prototype software ที่ต้องลงแรงไป dev ก่อน เราจึงควร test ในขึ้นตอนนี้ให้มากพอและมั่นใจในระดับหนึ่งก่อนจะไปเริ่ม dev นะจ๊ะ


ขั้นตอนทั้งหมดนี้ เราสามารถทำได้ภายในเวลาไม่ถึงวัน! ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่สั้นมาก ถ้าเทียบกับการต้องเสียเวลาลงแรงลงทุนไปกับสิ่งที่ผู้ใช้จะชอบจะใช้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้น เราควรจะคิดและทำทั้งหมดเหล่านี้ก่อน เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุดต่อทั้งผู้ใช้และผู้ผลิตเอง :)

สรุป Design Thinking Concept

  1. empathise > review stakeholder, review user
  2. define > ตั้งโจทย์ปัญหา 
  3. ideate > คิดวิธีแก้ปัญหา 
  4. prototype > สร้างผลงานตัวอย่าง 
  5. test > ทดสอบกับผู้ใช้จริงแล้วทำการปรับปรุง

โปรแกรมทำ Wireframe / Test

  • Axure RP 
  • Indigo 
  • POP (Prototyping on Paper) 
  • Firework 
  • Omnigraffle 
  • Silverback > record for usability testing 
  • Live View, Scala view > show ที่ mobile ขณะ design
ถ้าคำตอบคือ feature นี้ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ user เลย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้มี feature นั้นอยู่ใน software ของเรา !
"Delivers Solution Not Feature"
*** People don't buy what you do; they buy why you do it. ***

http://www.ted.com/talks/simon_sinek_how_great_leaders_inspire_action.html

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ข้อมูลความรู้ส่วนหน่ึงที่ได้จากการไปช่วย Workshop เท่านั้น ถ้าใครอยากได้ข้อมูลเชิงลึกกว่านี้ ได้ลองทำจริง ก็ติดตาม Event Workshop ที่ UX Academy ได้เลยนะจ๊ะ ^_^